0 Cart
Added to Cart
    You have items in your cart
    You have 1 item in your cart
    Total

    News

    เลือกซื้อหนังแท้ต้องดูอย่างไรดี

    เวลาที่เราพูดถึงเรื่องหนัง หลายคนสงสัยเหมือนกันว่า หนังแท้มันดูกันอย่างไร เพราะสินค้าในบ้านเราเป็นผลิตภัณฑ์จากหนังเยอะแยะมากมาย ดู ๆ แล้วเหมือนแบ่งเป็นหลายเกรดหลายประเภทเลยนะคะ ว่าแต่ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าหนังแต่ละอย่างที่เราซื้อมาเนี่ยมันเป็นหนังจริง ๆ 

    ก่อนอื่นก็ต้องบอกเลยนะคะ ว่าหนังสัตว์ที่เค้านำมาสร้างผลิตภัณฑ์นั้นได้มาจากหนังของสัตว์หลายชนิด อย่างเช่น วัว ควาย อูฐ แพะ แกะ จระเข้ หรืองู เป็นต้น โดยพื้นผิวของหนังสัตว์จะมีริ้วรอยเฉพาะซึ่งเกิดจากรูขุมขนของสัตว์แต่ละชนิด เรียกว่า Grain Pattern และพื้นผิวเฉพาะตัวนี้ก็มีลักษณะแตกต่างกันไปตามอายุของสัตว์ด้วย เช่น หนังของสัตว์ที่มีความอ่อนนุ่มจะเป็นหนังลูกวัว ส่วนหนังสัตว์อายุมากแล้วจะมีความหยาบและแข็งมากกว่า ซึ่งหนังวัวและหนังควายนั้นถือว่าเป็นหนังสัตว์ที่นิยมนำมาใช้มากที่สุด โดยพื้นผิวของหนังวัวและหนังควายเป็นลักษณะแบบฟอร์มเดียวกันและมีขนาดเท่ากัน เรียงตัวกัน แต่หนังควายจะมีลักษณะหยาบกร้าน บางครั้งหนังควายก็จะถูกนำมาใช้ทดแทนหนังวัว เนื่องจากมีราคาถูกกว่าและมีคุณสมบัติใกล้เคียงกันมาก

    ถึงแม้ว่าจะมีการนำหนังควายมาใช้แทนหนังวัวบ้าง แต่ก็ยังมีการผลิตหนังเทียมมาใช้ เนื่องจากมีราคาถูกกว่ามาก พื้นผิวมีความสม่ำเสมอ ไม่เสียเศษ จะใช้หน้ากว้างเท่าไหร่ก็ได้ เรียกได้ว่าสะดวกสบายต่อการใช้งานของผู้ผลิตมาก ๆ อย่างนั้นแหละค่ะ ที่สำคัญหนังเทียมเนี่ย เป็นหนังที่ดูแลรักษาง่ายมากและทนความชื้นมากกว่าหนังแท้ด้วยนะคะ แหม๋!! คุณสมบัติครบขนาดนี้ก็น่าจะเป็นที่พอใจและคู่ควรที่จะนำมาใช้งานแล้วนะคะ แต่สำหรับเรา ๆ ที่เป็นผู้บริโภคนี่ซิคะ หนังเทียมมันมีข้อเสียอยู่ตรงที่ไม่สามรถรับน้ำหนักได้เท่าหนังแท้ ฉีกขาดง่ายและมีความยืดหยุ่นน้อย คิดดูนะคะว่าซื้อกระเป๋าหนังเทียมมาหนึ่งใบทรงสวยมาก ใช้ยังไม่ทันไรก็ชำรุดเสียหายซะแล้ว 

    ว่าแต่ไอที่เล่ามายาวเหยียดเนี่ยแล้วตกลงดูยังงัยกันล่ะ ง่ายนิดเดียวสำหรับคำตอบนี้ หนังแท้กับหนังเทียมต่างกันตรงการสัมผัสเนี่ยแหละค่ะ เพียงแค่ใช้มือดึงหนังให้ยืดดู หนังแท้จะรู้สึกได้เลยว่ามีความยืดหยุ่นเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังมากกว่า ถ้าเป็นหนังเทียมเนี่ยผิวมันจะตึง ดึงแล้วอาจมองไม่เห็นรูขุมขนและความยืดหยุ่นตามธรรมชาติ นอกจากนั้นยังสามารถกดหรืองอได้  การงอหรือการกดเนี่ยไม่สามารถทำอะไรกับความเป็นหนังแท้ได้เลยค่ะ ถึงจะเกิดรอยแต่มันจะกลับคืนรูปเดิมและรอยจะยังคงอยู่ ส่วนหนังเทียมเนี่ย พอปล่อยปุ๊บรอยยับก็จะหายไปเลย หรืออาจจะใช้วิธีขูดก็ได้นะคะ หนังแท้ผิวจะเป็นรอยขูดไม่คืนตัวง่าย แต่หนังปลอมขูดแล้วจะไม่เป็นรอย หรือถ้าเป็นรอยก็จะคืนตัวเป็นผิวเรียบ ๆ เหมือนเดิมถ้าเป็นหนังปลอมแบบมีลวดลายเนี่ยวิธีนี้จะเห็นผลชัดเจนมาก

    เป็นอย่างไรคะวิธีที่เราแนะนำ ง่ายมากเลยใช่มั้ยคะ รับรองว่าหากต้องการซื้อผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับหนังเนี่ย สามารถทดสอบด้วยวิธีการเหล่านี้ได้เลย แต่.....ก็ยังมีหนังแท้บางประเภทที่ดู ๆ แล้วก็ยังคล้าย ๆ กับหนังปลอมเหมือนกัน ถ้าอยากรู้ว่าเพราะอะไรต้องคอยติดตามนะคะ แล้วจะบอกว่าทำไมหนังแต่ละประเภทถึงมีความแตกต่างกัน เอาเป็นว่าถ้าตอนนี้มองหากระเป๋าสตางค์ดี ๆ ซักใบและอยากมั่นใจในหนังแท้ แวะดูที่ FOLIO SHOP ของเราก่อนได้ค่ะ เรารับประกันความเป็นหนังที่มีให้เลือกสรรมากมายแน่นอน                         


    #ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://board.postjung.com/658454.html , http://www.rongpim.com

    เล่าขาน...เรื่องหนัง หนัง

    จากที่เราได้เคยพูดคุยถึงเรื่องหนังในแง่มุมต่างๆ มาบ้างแล้ว แต่ก็ยังอยากรู้จักเครื่องหนังมากขึ้นกว่านี้แน่นอนใช่ไหมล่ะคะ อย่าพึ่งรีบร้อนไป เรื่องหนังยังมีรายละเอียดอีกมากมายให้ทำความรู้จัก จนเราอาจตกหลุมรักไปโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ

    ว่าแต่มีใครจำได้บ้างคะ ว่าเครื่องหนังชิ้นแรกที่เราใช้หรือเรามีเนี่ยมันคืออะไรกันน้า บางคนก็จำได้ดีเพราะว่าใช้มาจนถึงปัจจุบัน ก็มันยังสวยงามและคงทนอยู่หนิ  หรือบางคนอาจจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรเป็นเครื่องหนังชิ้นแรก ก็แหม...ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์เครื่องหนังใหม่ๆ สวยงามและหลากหลายซะขนาดนี้ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องตอบก็ได้ ถามดูเฉยๆ เผื่อมีใครที่เจอเครื่องหนังเป็นเพื่อนคู่ใจแล้ว คราวหน้าจะได้มาแชร์กันบ้าง จะอวดหรือจะแบ่งปันก็ได้นะคะ 

    ทุกวันนี้หันไปทางไหนก็เจอเครื่องหนังเต็มไปหมด ทั้งเฟอร์นิเจอร์ รองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้า หรือแม้แต่ของใช้ใกล้ตัวจุกจิก นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์แปลกใหม่และสร้างสรรค์เกิดขึ้นอย่างมากมาย รู้สึกว่าหนังจะยังคงได้รับความนิยมอย่างยาวนานมากเลยนะคะ แล้วเคยมีใครสงสัยไหมว่า มนุษย์เนี่ยค้นพบวิธีการนำหนังสัตว์มาใช้งานตั้งแต่เมื่อไหร่ จะว่าไปแอดมินนี่แหละที่สงสัย ก็เลยลองไปสืบเสาะและศึกษาข้อมูลมา เจอเรื่องราวตื่นเต้นมากมายเลย มนุษย์เนี่ยสุดยอดของผู้ค้นพบจริง ๆ นะคะ

    เรื่องราวของการนำหนังสัตว์มาใช้งานเนี่ย ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่สันนิฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มาก เริ่มตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตอนที่มนุษย์รู้จักล่าสัตว์ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มและมีการปกครอง มนุษย์ก็เริ่มนำหนังสัตว์ที่ล่าได้มาใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดร่างกายแล้วค่ะ แต่จะได้ใช้เฉพาะกับหัวหน้าเผ่าหรือคนปกครองกลุ่มเท่านั้นนะคะ เมื่อล่าสัตว์มาได้สักตัวก็จะได้หนังแค่ผืนเดียว โดยจะทำการถลกหนังจากสัตว์ที่ตายแล้ว ผืนหนังคงมีน้ำหนักมากพอควรเลย นี่ถ้าไม่แข็งแรงและมีอำนาจพอคงจะไม่ได้ใส่แน่ ๆ ใช่มั๊ยล่ะคะ มีใครคิดเหมือนกันรึเปล่าน้า

    แต่หลังจากนั้นมนุษย์ก็เริ่มมีอารยธรรม มีสมองใหญ่ขึ้น รู้จักปรับตัวและเริ่มทำการเกษตร ก็เริ่มใช้หนังสัตว์ห่อหุ้มร่างกายและเท้าเพื่อป้องกันตัวเอง ส่วนใหญ่มนุษย์จะใช้หนังเพื่อตอบสนองความต้องการเพื่อนุ่งห่ม สร้างที่พักอาศัย พรม ที่รองนอน หรืออย่างสาวชาวอียิปต์โบราณจะได้รับขนสัตว์เป็นรางวัลตอบแทน พวกเธอถือว่าหนังขนสัตว์ เป็นเครื่องประดับอันเลอค่าเสมือนเครื่องเพชรชิ้นงามในยุคปัจจุบันเลยค่ะ นอกจากนั้นก็นำมาทำเป็นอุปกรณ์ป้องกันการต่อสู้ รองเท้า เข็มขัด ทำเป็นใบเรือก็มีมาแล้วนะคะ สุดยอดจริง ๆ

    แต่จากบันทึกในประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของหนังสัตว์เนี่ย คงต้องย้อนกลับไปช่วงปีคริสตศักราช 757 เลยค่ะ เพราะมีการค้นพบเศษซากโบราณวัตถุที่ทำจากหนังแท้ในประเทศอียิปต์ คิดดูว่านานขนาดนั้นหนังยังมีความคงทนและคงสภาพอยู่เลยนะ ชาวกรีกโบราณเริ่มใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่มในช่วงปีพุทธศักราช 657และการใช้หนังสัตว์ได้แผ่ขยายไปยังอาณาจักรโรมัน ต่อมาในยุคกลางชาวจีนจึงได้เรียนรู้ถึงกรรมวิธีในการนำหนังสัตว์มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ในยุคนั้น สำหรับในทวีปอเมริกาเหนือชาวอินเดียแดงเป็นผู้ริเริ่มการนำหนังสัตว์มาใช้ก่อนที่คนผิวขาวจะอพยพเข้าทวีปอีกค่ะ จากนั้นมาในทวีปยุโรป เอเชียและอเมริกาเหนือจึงได้เริ่มนำหนังสัตว์มาขึ้นรูป สร้างเป็นผลิตภัณฑ์โดยมีกรรมวิธีในการผลิตเฉพาะของแต่ละท้องถิ่น โอ้โห...น่าทึ่งจริง ๆ นะคะ

    ว่ากันว่างานเครื่องหนังมาเจริญรุ่งเรือง ถึงขีดสุดในยุคกลาง ( ค.ศ.1476 - 1453 ) หรือ ยุคมืด ที่ชาวยุโรปเรียกกันตามประวัติศาสตร์โลกสากลน่าแปลกใจที่ยุคนี้เป็นยุคอารยธรรมและความเจริญหยุดชะงัก แต่เป็นยุคที่งานหนังได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง มีผลทำให้อาชีพช่างหนังและช่างฟอกหนังเจริญสูงสุดถึงขั้นมีการรวมตัวกัน จัดตั้งสมาคมช่างหนังขึ้นเพื่อประโยชน์ของกันและกันตลอดจนรักษามาตรฐานของหนังและฝีมือในยุคนี้ถ้าจะนึกภาพง่าย ๆ คงคิดถึงหนังฮอลลีวูดซึ่งนำเรื่องราวของผู้คนในยุคกลางมาสร้างเป็นภาพยนต์ เช่น หนังเรื่อง " Robinhood " (โรบินฮู้ด เจ้าชายจอมโจร )หรือ เรื่อง "A KNIGHT TALE ( อัศวินพันธุ์ร็อค ) หลาย ๆ คนคงรู้จักและเคยดูกันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ

    นอกจากนั้นยังพบหลักฐานว่าชนเผ่าฮิบรูคือชนชาติแรกที่คิดค้นวิธีการฟอกหนังจากพืช (เปลือกต้นโอ๊ค) หรือ "ฝาด"นั่นเอง และมีวิธีที่ชาวเอสกิโมใช้กันมาช้านานในการฟอกหนังอีกอย่างก็คือการถูด้วยไขมันสัตว์ลงบนผิวหนังของสัตว์ จะทำให้หนังนั้นอ่อนนุ่มเครื่องหนังที่ใช้กันในยุคใหม่นี้มีวิวัฒนาการมาจากการค้นพบโดยการลองผิดลองถูกของผู้คนสมัยโบราณ จนมาถึงในยุคนี้ที่มีเทคโนโลยีและนวัตรกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้เครื่องหนังนั้นมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเช่นกัน เรียกได้ว่าเครื่องหนังถือกำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคต่าง ๆ แอดมินรู้สึกว่า ความเป็นหนังมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัตถุและนำมาซึ่งความเจริญของยุคสมัยที่ทำให้เกิดความผูกพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องหนังอีกด้วย

    แต่อย่างไรก็ตามงานหนังนั้นมีเสน่ห์ และเอกลักษณ์ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ยิ่งดูยิ่งสวยและคลาสสิคที่หลาย ๆ คนชอบที่สุดเห็นจะเป็นความคงทน ซึ่งถ้ารักษาดี ๆ แล้วล่ะก็เครื่องหนังนั้นจะอยู่กับเราตลอดช่วงชีวิตเลยทีเดียวล่ะค่ะตื่นเต้นมากเลยใช่ไหมคะกับเรื่องราวของหนังที่คัดสรรมานำเสนอบทความต่อไปจะเป็นเรื่องหนังในแง่มุมไหนต้องคอยติดตามกันนะคะ แล้วอย่าลืมแบ่งปันความประทับใจของเครื่องหนังคู่ใจให้แอดมินฟังบ้างน้า ยินดีค่ะ ^^

     

    #ขอบคุณบทความบันดาลใจจาก http://hardyleather.blogspot.com


    #ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://www.leatherresource.com/history.html

    กว่าจะมาเป็นหนัง

    พอดีมีคำถามจากเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังมองหากระเป๋าหนังคู่กายสักชิ้น แต่กลับพบว่า “เฮ้ย.....ทำไมหนังมีหลากหลายแบบจัง ตัดสินใจไม่ถูก” แล้วหนังวัวแบบไหนล่ะดีที่สุด อืม...เป็นคำถามที่น่าสนใจเหมือนกันใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับหนังให้มากขึ้นกันดีกว่า
    อย่างที่ทุกๆ คนรู้โดยทั่วไปว่า หนังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ หนังแท้และหนังเทียม ซึ่งหนังแท้เนี่ยมีราคาสูงตามคุณภาพและลักษณะของการฟอก โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ

     


    - หนังดิบ นำมาใช้ประโยชน์โดยตรง เช่น ทำหนังกลอง หนังตะลุง เป็นต้น

     

    - หนังฟอก เป็นหนังดิบที่ผ่านการฟอกแบบต่างๆ เพื่อไม่ให้หนังเน่าเปื่อย มีลักษณะอ่อนนุ่ม เรียบ สม่ำเสมอ มีสีสันสวยงาม มีความหนาตามต้องการ สำหรับหนังวัวเป็นหนังที่มีสีผิวไม่สวยงามจึงจำเป็นต้องมาตกแต่งและย้อม

     

    ซึ่งกระบวนการฟอกหนังไม่ใช่แค่การทำความสะอาดหนังเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่มันเป็นกระบวนการเปลี่ยนหนังดิบที่สามารถเน่าเปื่อยได้ให้เป็นหนังสำเร็จรูปที่คงตัว ไม่เน่าเปื่อย มีความทนทานต่อสภาพอากาศและความร้อน กระบวนการฟอกจึงจำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีกรรมวิธีการฟอกที่ใช้อยู่คือ

     

    การฟอกโครม (Chrome Tanning)เป็นการฟอกที่กระทําในถังหมุน ซึ่งจะใช้สารเคมีพวกเกลือของโครเมียมเป็นตัวฟอก เช่น โครมิก (Chromic) เป็นตัวฟอก ซึ่งจะทำให้หนังมีสภาพเป็นไฟเบอร์ (Fibre) เมื่อนำไปตากแห้งแล้วจะแข็งมีสีเขียว จึงเรียกหนังที่ผ่านการฟอกโครมแล้วว่า หนังเขียว(WetBlue) การฟอกประเภทนี้เป็นที่นิยมกว่า เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาด ใช้เวลาสั้น สารเคมีราคาถูก หนังที่ฟอกแล้วทนต่อความร้อนและความชื้นได้ดีกว่า
    และการฟอกฝาด (Vegetable Tanning) การฟอกประเภทนี้จะนำสารสกัดประเภทแทนนินซึ่งสกัดได้จากเปลือกไม้พวกยูคาลิปตัส ควีบราโค และอื่นๆ มาเป็นตัวฟอก ทำได้ในถังไม้ปั่นหรือบ่อคอนกรีต น้ำที่ใช้ฟอกแล้วก็สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกเพราะสารที่ใช้ฟอกนั้นเป็นสารธรรมชาติ ขั้นตอนที่สําคัญคือการล้างฝาดส่วนเกินโดยใช้ กรดออกซาลิคล้างฝาดออกจากหนังซึ่งจะมีผลต่อคุณภาพหนังอย่างมาก หนังสําเร็จรูปที่เกิดจากการฟอกฝาดจะมีน้ำหนักมากกว่าการฟอกโครมและมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าการฟอกโครมหลังจากการฟอกแล้วหนังจะถูกรีดน้ำทําให้แห้งเจียรผิวด้วยเครื่องตัดแต่งและคัดเลือกเพื่อนำไปแปรรูปต่อ

     

    จึงถือได้ว่า การฟอกฝาดเป็นวิธีการที่ดีที่สุด หนังที่สามารถนำมาฟอกฝาดได้จากหนังในส่วนที่ดีและแข็งแรงที่สุดของวัวตัวหนึ่ง เพราะถ้าหนังมีตำหนิมากๆ เนื่ย เขาก็มักจะนำไปย้อมสี หนังที่ฟอกฝาดจึงมีเสน่ห์ของมันค่ะ คือ ยิ่งใช้ยิ่งนิ่มยิ่งดูสวย และมีความคงทนยาวนานเป็นสิบๆ ปี

     

    ส่วนหนังเทียมเนี่ย คือสารสังเคราะห์ที่ถูกนำมาทำให้มีลักษณะคล้ายหนังแท้ โดยผลิตมาเพื่อเลียนแบบหนังแท้และเพื่อใช้ทดแทนหนังแท้ ก็อย่างที่เคยบอกไปนั่นแหละค่ะว่า มันมีราคาถูกกว่ามาก ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาทำให้หนังเทียมมีรูปลักษณ์เหมือนหนังแท้มากจนแยกแทบไม่ออกเลยนะคะ

     

    ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับเรื่องหนังยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะคะ ว่าแต่จะเป็นหนังในแง่มุมใดก็ต้องคอยติดตามกันนะคะ แล้วจะรู้ว่า เรื่องหนัง...สวยงามกว่าที่คุณคิด

     

    #ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://www.thaitanning.org/th/tanning-industry/tanning-process/ ,http://www.bagindesign.com/articles/

    หนังคนละชั้น !

    พูดถึงเรื่องหนังเนี่ย เรามีเรื่องคุยกันเยอะแยะเลยนะคะ ว่าแต่...หนังสัตว์ที่เรานำมาสร้างผลิตภัณฑ์เนี่ยพอจะทราบไหมคะว่าถูกนำมาจากส่วนไหนบ้าง หลายคนคงขำแล้วนึกในใจ จะบ้าหรอ 
    หนังสัตว์ก็ต้องนำมาจากส่วนของผิวหนังชั้นนอกซิ จะมาจากส่วนไหนได้ล่ะ จริงค่ะ คำตอบนี้ไม่เถียง เพราะหนังแท้ๆ ที่นำมาใช้จะมีเอกลักษณ์หรือลวดลายบ่งบอกความเป็นสัตว์ชนิดนั้น เช่น หนังงู หนังจระเข้ หนังเสือ เป็นต้น


    แต่สำหรับหนังบางชนิด รู้หรือเปล่าว่า เค้าไม่ใช่แค่นำหนังชั้นนอกมาใช้เพียงอย่างเดียว 
    ก็อย่างเช่น หนังวัว ไงล่ะคะ หนังวัวที่เราเห็นๆ ในผลิตภัณฑ์ทั่วไปเนี่ยมาจากผิวหนังชั้นนอกจนถึงชั้นในเลยนะคะ มันเป็นหนังคนละชั้นกันค่ะ  

    โอ่..โฮ้ !! น่าตื่นเต้นขึ้นมาแล้วล่ะซิ ว่าแต่คุณสมบัติของหนังแต่ละชั้นสามารถเอาไปทำอะไรได้บ้าง
    เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ

    จริงๆ แล้ว ก่อนที่เค้าจะนำเอาแผ่นหนังไปผ่านกรรมวิธีการฟอกและตกแต่งนั้น เค้าต้องคัดเลือกแผ่นหนังที่ได้ มาปาดเป็นแผ่นแยกคุณภาพของหนังเสียก่อน ซึ่งเราสามารถแบ่งตามลักษณะหรือโครงสร้างของหนังได้ด้วย เรียกง่ายๆ ว่าแบ่งตามลักษณะชั้นผิวหน้าไงคะ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ

    1. Full grainเป็นหนังชั้นแรกที่มีลวดลายของหนังสัตว์ธรรมชาติอยู่ จัดเป็นหนังแท้ที่เป็นธรรมชาติที่สุดโดยพื้นผิวหนังไม่เรียบ และยังคงริ้วรอยต่างๆ เช่น รอยขูดขีดร่องรอยการต่อสู้ หรือรอยของแมลง สัตว์ กัด ต่อย เป็นต้น Full Grain จึงเป็นประเภทหนังที่ทนทานเป็นพิเศษเหมาะกับการนำไปผลิตเป็นชิ้นงานเฟอร์นิเจอร์ กระเป๋าแบรนด์เนม หรือรองเท้าค่ะเช่นเอาไปทำหนังประเภทฟอกฝาด Aniline และ Semi-Aniline เป็นหนังชั้นแรกที่มีลวดลายของหนังสัตว์ตามธรรมชาติที่สุดหลังจากผ่านกระบวนการฟอกหนังแล้วจะนำมาทำการตกแต่งโดยการพ่นเงาเน้นลวดลายของตัวหนังขึ้นมาเองเรียกว่าเป็นประเภทหนังที่มีความทนทานตามธรรมชาติ

    2. Split เป็นหนังที่อยู่ชั้นกลาง ซึ่งโครงสร้างของเนื้อหนังยังคงมีโครงสร้างที่ดี ความหนาหรือบางจะขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการปอกหนังจึงนำไปผลิตเป็นหนัง Nubuck หรือ Suede และยังสามารถนำไปโค๊ตพียูเพื่อสร้างลวดลายเทียมขึ้นได้หนังประเภทนี้เหมาะสำหรับนำไปใช้เป็นหนังหน้า ในการผลิตเครื่องหนังแม้คุณภาพของหนังประเภทนี้จะสู้หนังประเภทอื่นๆ ไม่ได้แต่มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ซึ่งคุณสมบัติที่เด่นอีกประการของหนังประเภทนี้คือมีคุณสมบัติเบาและมีความสามารถระบายอากาศได้ดี หนังประเภท Split ควรต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษกว่า โดยมีข้อควรระวัง คือไม่ควรถูกน้ำ และไม่ควรใช้อย่างสมบุกสมบันมากเกินไป ผู้ผลิตส่วนใหญ่จึงนำหนังประเภทนี้ไปผลิตเป็นรองเท้าลำลอง หรือรองเท้าแตะ หรือเข็มขัดลูกเสือ

    3. Lining เป็นหนังชั้นสุดท้าย ซึ่งมีโครงสร้างไม่เหมาะสำหรับนำไปทำหนังหน้า ส่วนใหญ่จะถูกนำไปทำซับในของผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เพื่อเอาไว้เสริมความแข็งแรง ความหนา

     

    เห็นไหมล่ะคะ ว่าวัวตัวเดียวเนี่ยสามารถคัดหนังกันได้หลายชั้นเลย ซึ่งคุณภาพและราคาก็แตกต่างกันด้วย ต่อไปนี้เวลาไปเลือกซื้อกระเป๋าหนัง คงต้องเลือกดูดีๆ แล้วล่ะคะว่าเป็นหนังชั้นไหน เราจะถึงได้สินค้าที่ถูกใจและราคาเหมาะสมกับราคา เพราะเราเข้าใจแล้วว่า มัน..หนังคนละชั้นกัน !!!


    #ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://vintageblog.scf-vintage.com/blogvintage/vintage-knowledge/