Why we run ? "วิ่งกันไปทำไม" บทสัมภาษณ์จาก4นักวิ่งมาราธอน
เราจะวิ่งไปไหนกัน?
มันเริ่มจากการที่ว่า เราก็เป็นคนทำงานที่มีเพื่อนรอบๆตัวที่เป็นคนชอบวิ่ง วิ่งแบบเยอะมากๆ บางคนไปแข่งทีวิ่งเป็น 100กิโลฯ บางคนเป็น100ไมล์ ตัวเราก็สงสัยว่า เฮ้ย! 100กิโล ขับรถยังเหนื่อย นี่เอาอะไรไปวิ่งเยอะขนาดนั้น ถ้าอยากจะออกกำลังกายวิ่งสัก 5กิโล 10กิโลก็น่าจะพอแล้วนี่
Folio เลยถือโอกาสไปสัมภาษณ์นักวิ่งมาราธอนทั้ง4คน ว่าพวกเขาวิ่งกันไปทำไม จะวิ่งไปไหนกัน?มาฝากกันครับ
จุดเริ่มต้น
Jiraphol: “คิดว่าจุดเริ่มต้นของหลายๆคนอาจจะเหมือนกันผม คือ ออกกำลังกายเพราะว่าอยากลดหุ่น เมื่อก่อนผมเป็นคนอ้วน หนักเป็น100กิโล ก็ออกกำลังกายเพื่อให้น้ำหนักลดเรื่อยมา พอน้ำหนักเราถึงจุดที่วิ่งได้ เราก็เลยมาเริ่มวิ่ง”
Theeradej: พี่เป็นโปรแกรมเมอร์ นั่งอยู่หน้าคอมฯตลอด สุขภาพไม่ดี ขึ้นบันไดที่ออฟฟิศทีก็เหนื่อย ไปดำน้ำอากาศก็หมดก่อนเพื่อน พอเพื่อนชวนวิ่งก็เลยได้โอกาสเลยลอง พอไปวิ่งกับเพื่อนมันก็สนุกดีนะ เหมือนเราได้มีสังคมจากที่เคยอยู่คนเดียวมันก็ดีไปอีกแบบ
Nueng: “ถ้าถามว่าวิ่งไปทำไม ก็คงจะตอบว่า วิ่งเพราะได้เพื่อนเยอะดี ไปสวนลุมวันเสาร์ ยังไงก็เจอเพื่อน แบบเวลาวิ่งๆอยู่ มีคนรู้จักวิ่งมาใกล้ๆ ก็ได้ทักได้คุยกัน ถ้าวิ่งในงานก็แบบ เออ เราอยู่เสื้อทีมเดียวกันเลย หรือ ถ้าต่างจังหวัดก็เหมือนได้ออกทริป มันก็สนุกกันคนละแบบ”
สงสัยนะ วิ่งไกลๆนี่ไม่เบื่อหรอ?
Jiraphol: “ก็เบื่่ออยู่ ถ้าวิ่งบนลู่นี่เบื่อมาก ก็ฟังเพลงเอา ถึงแม้จะช่วยได้ไม่มากนัก แต่ถ้าวิ่งแบบแข่งนะไม่เบื่อเลย”
Sophon: “ไม่เบื่อนะ เราได้อยู่กับตัวเอง รู้สึกว่าวิ่งแล้วเรานิ่งมากขึ้น ได้มีสมาธิกับตัวเองมากขึ้น คนอื่นเค้าอาจจะนั่งสมาธินะ เราก็รู้สึกอีกว่าเราจับตัวเองได้มากขึ้น คุมตัวเองได้มากขึ้น ทำงานก็คุมได้”
“เป้าหมายการวิ่งให้ได้ 100กิโลของเรา มันใหญ่มาก ใหญ่เกินกว่าที่เราจะเบื่อ เช่นถ้าคุณจะวิ่งร้อยกิโลให้ได้ ก็ต้องเริ่มซ้อม วิ่งให้ได้สัปดาห์ละ 70กิโล พอมองไปที่ร้อยโล มันไม่เบื่อไง มันจะต้องวิ่งเพื่อดูว่า เราหายใจถูกไหม ท่าวิ่งดีหรือยัง เราลงเท้ายังไง”
Theeradej: “ไม่เบื่อ ถ้าวิ่งในป่านี่ชอบมาก พี่ชอบต้นไม้ พอได้เห็นป่าเห็นต้นไม้ ที่เปลี่ยนไประหว่างทางมันทำให้เรา ไม่เบื่อเลย แล้วเราก็จะต้องตั้งใจวิ่งให้ทันเวลา ทำให้เราไม่มีเวลาเบื่อ”
อะไรที่ทำให้วิ่งไกลๆมาได้ขนาดนี้
Jiraphol: “เพื่อนชวน ครั้งแรกก็ลงวิ่งแบบ 25 กิโลเลย เป็นคนออกกำลังกายหนักมาก่อน เราก็เลยทำได้ ต่อมาครั้งที่สองก็ลองวิ่งแบบ 50โลเลย ก็รู้สึกแบบ เฮ้ย เราทำได้”
“พอวิ่งไประดับหนึ่ง กลายเป็นว่าเรายกระดับและมีเป้าหมายที่จะไปแข่งกับคนที่วิ่งล่าถ้วยรางวัล เลยได้เอาตัวเองไปแข่งกับนักวิ่งตัวจริงที่เก่งกว่า พอเรามีความสำเร็จครั้งหนึ่ง มันจะสร้างให้เราไปมีความสำเร็จอันต่อไป”
"เป็นคนชอบเอาชนะ ชอบเล่นเกมส์มาตั้งแต่เด็ก พอวิ่งด้วยความอยากเอาชนะคนข้างหน้า พอเราวิ่งแซงเค้าได้ ก็รู้สึกแบบว่า “YES! เราทำได้” ทำเวลาได้ดี รู้สึกดีเวลาวิ่งนำหน้าเค้าไป
"จำได้อยู่ครั้งนึง ไปงานวิ่ง เจอ นาวินต้าร์ ก็ตั้งเป้าไว้เลย ว่าจะต้องวิ่งแซงนาวินต้าร์ให้ได้ ปรากฏว่า overheat ต้องออกจากรายการ 555”
Sophon:
“มันเหมือน ได้เอนท์ติดอีกครั้ง (เอนทรานส์)สอบเข้ามหาวิทยาลัย”
“ตอนจะเอนท์ทำไง ตั้งเป้า พยายาม มีวินัยอ่านหนังสือ ให้เวลากับมัน แล้วพอสำเร็จ ก็ภูมิใจในตัวเอง”
"คือ พอเราทำงาน เราอยากให้มีเป้าหมายอีกอย่างที่ให้เราได้พยายาม และ ตั้งเป้า ทีนี้ การวิ่งเนี้ย ปัจจัยอื่นมันไม่มีผลเลย มีแต่ตัวเราไง พอเราเข้าเส้นชัย เราก็เห็นว่า ผลลัพธ์นี่เกิดจากเราล้วนๆ จะถึงจุดหมาย หรือ แค่ใกล้ถึง ก็เป็นผลลัพธ์จากเราเลย”
Nueng: “ถ้าเราไม่ตั้งเป้า เดี๋ยวก็มีคนช่วยตั้งเอง คนรอบๆตัวเราก็จะชวน ยกระดับกันไปเรื่อยๆ”
Theeradej: “พอเราวิ่ง 10 โล ได้เราก็สร้างแรงจูงใจอันใหม่ ไหนเราลองไปวิ่ง Halfซิ ปรากฏต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีก เช่น วิ่งยังไงไม่ให้เจ็บ ท่าวิ่ง ท่ายืด นู่นนี่ มันมีรายละเอียดมากกว่าเดิม การวิ่งก็มีมิติมากขึ้น พอผ่านระยะนึงไปได้ เราก็แบบ เออลองวิ่งต่อดีกว่า มันก็ทำให้เราเพิ่มระยะไปได้อีก
“ยิ่งเราอยู่ในกลุ่มนักวิ่ง เราเห็นคนนู้นคนนี้เติบโตในสายการวิ่ง เราก็เห็นว่า เออ เราก็มีช่องว่างที่เรายังพัฒนาไปได้อีก เพื่อนวิ่งด้วยกันนี่แหละสำคัญมากนะ ชวนกันไปวิ่ง หากิจกรรมวิ่งมาราธอนมาแชร์กัน เราก็ใกล้ชิดกับสังคมเพื่อนมากขึ้น อยู่กับกลุ่มคนที่ชอบเหมือนๆกัน คุยเรื่องเดียวกัน มันมีความสุขดีนะ ”
วิ่งแล้วได้อะไร
Theeradej: ผลที่ได้ทางร่างกายแบบชัดเจนเลย คือ แข็งแรงขึ้น สมองโปร่ง ไม่เครียด ส่วนในแง่ความคิดเราก็มีความมั่นใจ มากขึ้น โดยเฉพาะ เรากล้าจะไปเที่ยวที่ๆมันต้องอาศัยความฟิตอย่าง ABC (Everest Base Camp) เราก็ไปได้
เวลาวิ่ง อย่างเช่นMarathon ขึ้นไป เราต้องวางแผน ต้องซ้อม ต้องตั้งเป้า พอมันAchieve มันก็รู้สึกมีความสุขหน่ะ
Jiraphol: “พอวิ่งแล้วเราลีน เราก็รู้สึกมีความมั่นใจ ไม่กลัวสายตาคนอื่น เมื่อก่อนเราอ้วน ไปหน้างานก็รู้สึกลึกๆในใจว่าเราไม่น่าเชื่อถือ ทีนี้พอเราลีนเราจะทำอะไรมันก็มั่นใจ ส่งผลให้งานดีด้วย เพราะติดต่อกับคนอื่นแล้วสะดวกดูเป็นคนสมาร์ท แต่งตัวง่าย มีความน่าเชื่อถือมากขี้น ที่สำคัญเลยคือเรา เราได้ mindset ใหม่ เรารู้สึกเคารพตัวเอง เหมือนกับว่าเราทำงานที่ยากมากๆสำเร็จ เราก็เชื่อว่า มีอะไรยาก เราก็ทำได้”
Sophon: “เราดีลกับเป้าหมายเราเป็นชีวิตเลยนะ แบบถ้าเราสัญญากับตัวเอง เราจะผิดสัญญากับตัวเองไหม ผิดก็ได้ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าเราเป็นคนไม่ผิดสัญญากับตัวเอง เราก็ไม่ทางที่จะผิดสัญญากับคนอื่น “การวิ่งเป็นการฝึกฝน ให้เราเอาชนะใจตัวเอง”
Nueng: “วิ่งแล้วผ่อนคลาย ความเครียดลดลงมาก บอกไม่ถูก เหมือนไม่ต้องคิดอะไร หัวโล่ง พอวิ่งแล้วมันติดนะ แล้วข้อดีที่สุดเลย วิ่งเสร็จแล้วไปกินข้าว ข้าวมื้อนั้นมันอร่อยมาก 555”
หลังจากสัมภาษณ์ทั้งสี่คนนี้เสร็จ ผมว่าเราได้เห็นสิ่งที่เขามี และได้รับจากการวิ่งที่คล้ายๆกัน ที่น่าจะนำมาใช้ในชีวิตของเราได้บ้าง น่าจะเป็น
1.) ตั้งเป้าหมายให้ท้าทายที่ใหญ่ที่สุดไว้ก่อน แล้วตั้งเป้าหมายเล็กๆเพื่อเป็นก้าวเล็กๆสำหรับการเดินไปสู่เป้าหมายใหญ่ การที่เรารู้สึกประสบความสำเร็จจากเป้าหมายเล็กๆที่เราตั้งไว้ จะทำให้เรามีแรงผลักดันไปสู่เป้าหมายต่อไปได้
2.) เพื่อนที่คอยผลักดันกันและกันไปข้างหน้า สำคัญมาก เพราะมันจะทำให้ทุกคนก้าวไปสู่เป้าหมายความสำเร็จด้วยกัน
3.) พอเราสัญญากับตัวเองแล้วเราทำมันได้ เราจะมีความเคารพตัวเอง จะมั่นใจในตัวเอง จะส่งผลบวกไปด้านอื่นๆในชีวิตด้วย